Blog นี้เขียนขึ้นเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับ Physic และเรื่องต่าง ๆ

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Physic (สนามของแรง)

สนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก (Electric and Magnetic Field: EMFs) จะหมายถึง เส้นสมมุติที่เขียนขึ้นเพื่อแสดงอาณาเขตและความเข้มของเส้นแรงที่เกิดขึ้นระหว่างวัตถุที่มีความแตกต่างของศักย์ไฟฟ้าหรือแรงดันไฟฟ้า (เรียกว่า สนามไฟฟ้า) และที่เกิดขึ้นโดยรอบวัตถุที่มีกระแสไฟฟ้าไหล (เรียกว่า สนามแม่เหล็ก) ในกรณีกล่าวถึงทั้ง สนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กพร้อมกันมักจะเรียกรวมว่า สนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Field: EMF)หรือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กสามารถเกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะคือ

1) เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ได้แก่ สนามแม่เหล็กโลก  คลื่นรังสีจากแสงอาทิตย์   คลื่นฟ้าผ่า  คลื่นรังสีแกมมา เป็นต้น
2) เกิดขึ้นจากการสร้างของมนุษย์   แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
 แบบจงใจ  คือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่จงใจสร้างให้เกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักที่จะใช้ประโยชน์โดยตรงจากคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่สร้างขึ้นนี้ เช่น ให้สามารถส่งไปได้ในระยะไกลๆ ด้วยการส่งสัญญาณของระบบสื่อสารสัญญาณเรดาร์  คลื่นโทรศัพท์ คลื่นโทรทัศน์และ คลื่นวิทยุ และการใช้คลื่นไมโครเวฟในการให้ความร้อน เป็นต้น  แบบไม่จงใจ  คือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากการใช้งานอุปกรณ์  โดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์หลักที่จะใช้ประโยชน์โดยตรงจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเช่น ระบบส่งจ่ายกำลังไฟฟ้า (สายส่งไฟฟ้า)รวมถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
สนามแม่เหล็กไฟฟ้ายังสามารถแบ่ง ออกเป็น  สนามแม่เหล็กไฟฟ้าสถิตที่ไม่มีการเปลี่ยนตามเวลา (Static Field หรือDC Field) ตัวอย่างเช่น  สนามไฟฟ้าระหว่างก้อนเมฆกับพื้นโลก   สนามแม่เหล็กจาก แม่เหล็กถาวร  สนามแม่เหล็กโลก เป็นต้น
ส่วนอีกประเภทคือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีการเปลี่ยนตามเวลา (Dynamic Field หรือ AC Field) ตัวอย่างเช่น สนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากระบบการส่งจ่ายกำลังไฟฟ้ากระแสสลับ (50 Hz) และ ระบบสื่อสาร เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันอาสาฬหบูชา

ธรรมจักกัปปวัตนสูต

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก dhammathai.org

          ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี จะตรงกับวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกหนึ่งวัน นั่นคือ "วันอาสาฬหบูชา" ซึ่งในปี พ.ศ.2555 นี้ วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันที่ 2 สิงหาคม และวันเข้าพรรษา ตรงกับวันที่ 3 สิงหาคม

          ทั้งนี้ คำว่า "อาสาฬหบูชา" สามารถอ่านได้ 2 แบบ คือ อา-สาน-หะ-บู-ชา หรือ อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา ซึ่งจะประกอบด้วยคำ 2 คำ คือ อาสาฬห ที่แปลว่า เดือน 8 ทางจันทรคติ กับคำว่า บูชา ที่แปลว่า การบูชา เมื่อนำมารวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน 8 หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน 8

          วันอาสาฬหบูชา คือวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้ได้ 2 เดือน   โดยแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานาม และพระอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ จน พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงถือว่าวันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 45 ปี
          ทั้งนี้ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ปัจจวัคคีย์ทั้ง 5 เรียกว่า  "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม ซึ่งหลังจากปฐมเทศนา หรือเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงจบลง พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จึงขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานอุปสมบทให้ด้วยวิธีที่เรียกว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" พระโกณฑัญญะจึงได้เป็น พระอริยสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อมา พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้อุปสมบทตามลำดับ

          สำหรับใจความสำคัญของการปฐมเทศนา มีหลักธรรมสำคัญ 2 ประการ คือ 
    1. มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลางๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด 2 อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ

           การหมกมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่าเป็นการหลงเพลิดเพลินหมกมุ่นในกามสุข หรือกามสุขัลลิกานุโยค

           การสร้างความลำบากแก่ตน ดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น ซึ่งการดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค

          ดังนั้น เพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ 8 ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ 8 ได้แก่      
           1. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง

           2. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม

           3. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต

           4. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต

           5. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต

           6. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี

           7. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด

           8. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน

    2. อริยสัจ 4 แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซึ่งคือ บุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่     
           1. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้ กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด 
   
           2. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นๆ 
   
           3. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา 

           4. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ 8 ประการดังกล่าวข้างต้น


กิจกรรมวันอาสาฬหบูชา

           พิธีกรรมโดยทั่วไปที่นิยมกระทำในวันนี้ คือ การทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล ฟังพระธรรมเทศนา และสวดมนต์ ในตอนค่ำก็จะมีการเวียนเทียนที่เป็นการสืบทอดประเพณีอันดีงามของไทยเรา
ดังนั้น พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรเข้าวัด เพื่อน้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อีกทั้งยังเป็นการช่วยชะล้างจิตใจให้ปลอดโปร่งผ่องใส จะได้มีร่างกายและจิตใจที่พร้อมสำหรับการดำเนินชีวิตในยุคที่ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นอย่างนี้...

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รวมบทสวดมนต์

6 วิธีลดคอเลสเตอรอล



1.วางเป้าหมาย โดยปกติแพทย์มักแนะนำให้มีระดับคอเลสเตอรอลไม่เกิน 70 แต่ถ้าคุณไม่ค่อยมีปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระดับคอเลสเตอรอลไม่เกิน 130 ก็ถือว่าใช้ได้ และยิ่งคุณไม่มีโรคประจำตัวและสุขภาพแข็งแรง ระดับคอเรสเตอรอลไม่เกิน 160 ก็ถือว่าโอเค

2.ขยับเขยื้อนร่างกาย การออกกำลังลังกายช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิด LDL ซึ่งเป็นไขมันที่ดี ในขณะเดียวกันก็ยังช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอล HLD ซึ่งเป็นไขมันดีโดยไม่ต้องออกกำลังกายอย่างหักโหม แต่ทำให้อย่างสม่ำเสมอ

3.ตัดไขมันอิ่มตัว ซึ่งมีอยู่ในไขมันขาวๆ ของเนื้อสัตว์หนังสัตว์ปีกไข่แดง น้ำมันหมูเนย นม น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว แล้วหันมารับประทานอาหารที่ไม่มีไขมันอิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอก ปลา เป็นต้น

4.กินไฟเบอร์เพิ่มขึ้น เพราะไฟเบอร์จะทำหน้าที่คล้ายฟองน้ำคอยดูดซับคอเลสเตอรอลไว้

5.กินปลาสิดี นอกจากจะช่วยลดคอเลสเตอรอลแล้ว ปลาบางชนิดยังมีโอเมก้า 3 ซึ่งปกป้องกันโรคหัวใจและโรคเส้นเลือดในสมอง แต่ควรปรุงด้วยการต้มหรือแกง

6.ไม่สูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ระดับคอเลสเตอรอล HDL ลดลง ซึ่งจะเพิ่มโอกาสการอุดตันของไขมันในหลอดเลือด และเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ

ที่มา : Blackmores.co.th

4 วิธีลดปวดประจำเดือน

เมื่อถึงวันนั้นของเดือน สำหรับสาวๆ จำนวนไม่น้อยที่ต้องรู้สึกหงุดหงิด และสร้างความทรมานให้ทั้งทางร่างกายและอารมณ์ เกร็ดสุขภาพมีวิธีปรับสมดุลฮอร์โมน เพื่อช่วยลดอาการดังกล่าวมาฝากค่ะ

1. เพิ่มอาหารว่างมื้อเล็กๆ เพราะผู้หญิงก่อนมีประจำเดือนมักมีอาการอยากน้ำตาล ให้รับประทานอาหารว่างมื้อเล็กๆ ทุกๆ 2-3 ชั่วโมง หรือวันละ 5-6 ครั้ง แต่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานเค้กหรือขนมปังที่มีส่วนผสมของน้ำตาลขัดขาว เพราะอาหารดังกล่าวจะยิ่งทำให้ท้องอืด ดังนั้นลองหันมารับประทานผลไม้หรืออาหารว่างเสริมโปรตีนแทน เช่น แซนด์วิช ทูน่า ขนมปังโฮลวีท

2.ดื่มน้ำแครอทคั้นผสมขิง เพราะขิงจะช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ หรือดื่มน้ำผลไม้คั้นสด น้ำเปล่า และชาสมุนไพรที่มีประโยชน์ แทนการดื่มเหล้าหรือน้ำอัดลม

3.ลดความเครียด โดยฝึกผ่อนคลาย ทำจิตใจให้สบายมองโลกในแง่ดี และมีอารมณ์ที่สดชื่นแจ่มใสอยู่ตลอดเวลาสิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้ระบบฮอร์โมนต่างๆ ทำงานดีขึ้น

4.ออกกำลังกายเป็นประจำก่อนมีประจำเดือน 1 สัปดาห์ จะช่วยทำให้อาการไม่สบายต่างๆ ในช่วงก่อนและระหว่างมีประจำเดือนลดลงหรือแทบไม่มีเลย

ลองทำตามคำแนะนำ ปัญหาการปวดประจำเดือนก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้คุณหงุดหงิดอีกต่อไปค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก :  นิตยสารชีวจิต,สสส.